ปัจจุบันวงการ IT (information technology) จะได้ยินคำนี้บ่อยมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากหลายๆ บริษัทต้องการลดค่าใช้จ่ายรายเดือน และยังต้องการคุณภาพ และความปลอดภัยของข้อมูลที่มากยิ่งขึ้น อีกทั้งบริษัทที่ใช้ KPI (Key Performance Indicator) เป็นตัวชี้วัดกับฝ่าย IT แล้วหละก็ Private Cloud นี่แหละจะเข้ามาตอบโจทย์เรื่องของการลดค่าใช้จ่ายภายในองค์กรได้เป็นอย่างดี หรือเช่นถ้าบริษัทมี auditor คอยสอบ ISO หรือ CSA Star เพื่อต่ออายุใบรับรองต่างๆ การเก็บข้อมูลห้อง Server ภายในบริษัทก็จะมีการลงทุนที่สูงตามมาเช่นกันโดยเฉพาะเรื่องการ Black up และการเรียกข้อมูลกลับภายในเวลาที่กำหนดตามสัญญาการจ้างงาน โดยแยกเป็น 2 หัวข้อดังนี้
นี่แหละครับคือความหน้ากลัวที่ Private Server กำลังแบบรับอยู่ บทความนี้จึงอยากให้เป็นข้อคิดกรณีเกิดเหตุขึ้นมาจริงๆ คุณจะแก้ไขได้ทันหรือไม่ ระบบ Recovery ทำได้จริงรึเปล่า เหล่านี้ต้องทดสอบบ่อยๆ ครับ เพราะถ้าบริษัทไหนเข้มงวด IT อาจถูกหักเงินเดือนได้เลย
ในส่วนบริษัทไหนที่มี BCP Plan (Business Continuity Planning) ระบบก็จะต้องมีผู้ดูแลรับผิดชอบ ซึ่งไม่คุ้มแน่นอนที่จะจ้าง Engineer มาดูแลโดยตรงเพราะมันเหมือนกับการฝากความหวังไว้กับคนๆ เดียว ซึ่งบริษัทสมัยนี้ยอมจ่ายค่า Outsource ในราคาที่สูงขึ้นเพื่อแรกกับการแบกความรับผิดชอบในรูปแบบบริษัทไม่ใช่รูปแบบคนๆ เดียวอีกต่อไป ซึ่งสิ่งที่จะมาแก้ปัญหาเหล่านี้ให้กับบรรดา หัวหน้าแผนกไอที ได้ดีที่สุดก็คือการเลือกใช้ ผู้ช่วยไอที (Manage Service) เช่นบริษัท KIRZ เคิร์ซมีการให้บริการแบบครบวงจรก็จะช่วยงาน IT ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
แต่อย่างไรก็ตามการขึ้น Private Cloud นั้นจะเหมาะกับ Application ที่ไม่มีการขยายตัวของข้อมูลเยอะเกินไป เช่น บางบริษัทเก็บไฟล์ วีดีโอ, ไฟล์หนัง, ไฟล์เพลง, ตัดต่อ, 3D ก็จะไม่เหมาะกับการใช้ Private Cloud ซักเท่าไหร่เนื่องจากราคารายเดือนก็จะสูงตาม ซื้อ NAS มาใช้จะตอบโจทย์กว่า แต่ถ้าบริษัทไม่มีปัญหาเรื่องงบประมาณก็อยากแนะนำให้ขึ้น Private Cloud ไปเลยครับเพราะมันตอบโจทย์ ISO และ CSA Star ทั้งหมดอยู่แล้ว
ภาพ Private Server
จากภาพ Private Server เป็นโครงข่ายที่ผมได้วาดขึ้นเพื่ออยากสื่อให้ผู้อ่านที่นึกไม่ออกว่า Private Server คืออะไรกันแน่ได้เข้าใจง่ายขึ้น จริงๆ แล้วถ้าจะให้รวมทั้งหมดจะมีเยอะมาก เช่น ระบบ Alarm ไฟ, ระบบถังดับเพลงขนาดใหญ่, ระบบเตือนความชื้น, ระบบตรวจจับควัน, ระบบกล้อง CCTV เหล่านี้มีค่าบำรุงรักษารายปีไม่ต่ำกว่า 200,000 บาท ส่วนค่าไฟรายเดือนรวมๆ ก็ไม่ต่ำกว่า 30,000 บาท ซึ่งจะดีกว่าไหมถ้าให้คนที่มีความรู้เข้าไปบริหารจัดการให้ใหม่ ออกแบบให้ใหม่ บริษัทจะได้ปิดห้อง Server ไปเลย
ในส่วนของเส้นประด้านในซ้าย จะเป็นส่วนของอุปกรณ์เครือข่ายที่แน่นอนว่า เมื่อเราย้ายไป Private Cloud อุปกรณ์เหล่านั้นจะยังคงใช้งานตามเดิมจะมีแต่ทำ Routing เพิ่มบน Firewall และ Core Switch เท่านั้น และจะมีสิ่งที่เพิ่มมาไม่กี่อย่างเช่น Router ของผู้ให้บริการที่ใช้สำหรับเชื่อม Link MPLSเป็นต้น
ในส่วนของเส้นประด้านในขวา นั้นคือ Server, Storage, UPS, Generator, Air conditioner เหล่านั้นห้อง Server ทั่วไปขนาดกลางๆ จะถูกวางไว้ประมาณนี้ และแน่นอนการย้ายไป Private Cloud จะทำการโยกย้าย VM (Virtual Machine) ต่างๆ จากห้อง Server ไปยัง Private Cloud ที่เราเช่าใช้
ก็คือทุกอย่างที่เราต้องจัดซื้อขึ้นมาเอง ติดตั้งระบบเอง ต้องมีคนดูแลอย่างใกล้ชิด ถ้าคนดูแลลาออกก็จะเป็นปัญหาของการเปิด Server ทิ้งไว้แบบมั่วๆ เปลืองไฟโดยที่ผู้บริหารก็ไม่รู้เพราะ IT ก็ไม่รู้ว่า Server ตัวนี้เปิดไว้ทำไม ไม่กล้าปิด หนำซ้ำต้องลงทุนซื้อซ้ำทุก 5 ปีในราคาที่สูงมาก การนำไปขายต่อก็ไม่ได้ราคา
ตอบข้อ 1 ปัจจุบันการใช้งาน OS ส่วนใหญ่จะถูกติดตั้งเป็น Virtual Machine ซึ่งเหล่านี้เราสามารถ Export ไฟล์ออกมาแล้วจับโยนขึ้น Private Cloud ของผู้ให้บริการนั้นๆ ได้เลย ส่วนถ้าเป็นเครื่องจริงที่ไม่ลงผ่าน VM ก็จะใช้ Tools ของ Private Cloud ทำการ Convert System ทั้งลูกขึ้นไป ระบบก็จะแปลงเป็น VM และสามารถใช้งานได้ตามปกติ
ตอบข้อ 2 การเชื่อมต่อระบบไปยัง Private Cloud ในการตั้งค่าจะมีเพียงเพิ่ม Routing ที่ Layer 3 และขา Interface บน Firewall เท่านั้น ในส่วนของ VLAN ที่ใช้งานอยู่ก็จะวิ่งไปคุยกับ Cloud ได้เลย โดยพนักงานในบริษัทไม่ต้องเกาะ VPN ใดๆ เสมือนเป็นวงๆ เดียวกัน แต่จะทำให้เกาะ VPN ก่อนแล้วใช้งานก็ได้เช่นกัน
ตอบข้อ 3 ต้องเชื่อมต่อ VPN ด้วย Software ที่ทาง Private Cloud ส่งให้เราโหลดและติดตั้งและใส่ user/pass ก็จะสามารถคุยกับ VM ของเราที่อยู่บน Private Cloud ได้ทันที
ตอบข้อ 4 เรื่องนี้ไอทีหลายๆ คนยังเข้าใจว่าอุปกรณ์ Network & Server ระดับ Business ต้องให้ความเย็นกับมันตลอดเวลา ซึ่งเป็นเรื่องที่เข้าใจผิดนะครับ ในอุปกรณ์พวกนี้สามารถทนความร้อนได้ถึง 40 - 90 องศา ซึ่งในอุณหภูมิห้อง Server ทั่วไปจะอยู่ที่ 32-37 องศา โดยประมาณ เมื่อเราย้าย Server ไป Private Cloud แล้วก็จะเหลือแต่ UPS, Switch, Router, IP Phone ซึ่งเหล่านี้มีพัดลมในตัวทำให้ความร้อนอุปกรณ์จะอยู่ที่ประมาณ 30 กว่าองศาเท่านั้น ซึ่งวิธีระบายความร้อนจะห้อง Server ก็คือติดพัดลมระบายอากาศ คราวนี้ก็ไม่ต้องใช้แอร์เลยแหละครับ
ตอบข้อ 5 ข้อนี้เป็นข้อที่ทำให้ IT หลายๆ คนไม่กล้าย้ายไป Private Cloud เพราะไม่ชำนาญเรื่อง Config Routing ซึ่งในความเป็นจริง VM เราย้ายทั้งก้อน ฉนั้นที่ผมจะแนะนำคือต้องมีรู้ทางด้าน Firewall Routing และการทำ Site to Site VPN เพียงให้ Network มองเห็นกันก็สามารถใช้งาน AD กำหนดสิทธิ์ได้แบบฉบับตอนอยู่เป็น Private Server เลยแหละครับ
ภาพPrivate Cloud
สำหรับภาพ Private Cloud จะแสดงให้เห็นว่าส่วนการทำงานของ Network Equipment ยังคงต้องใช้อยู่ ส่วนนั้นจะเรียกว่า Black Office (หลังบ้าน) โดยจะเห็นว่าฝั่งสำนักงานจะมี Router MPLS เพิ่มเข้ามาอีก 1 ชิ้นไว้คุยกับผู้ให้บริการ Cloud Service ถามว่าไม่เพิ่มได้ไหม ได้ครับ แต่อยากให้กลับไปอ่านบทความMPLSก่อนครับว่าทำไมบริษัทขนาดเล็ก ถึง ขนาดใหญ่ ควรใช้เน็ต MPLS ในการทำงาน นั่นก็เพราะ Connectivity ไงครับที่สำคัญที่สุด MPLS จะต้องไม่มี Downtime หรือมี SLAที่ 99.99% เรียกได้ว่าใน 1 ปีสามารถ Downtime ได้ประมาณ 8 ชม. เท่านั้น IT จึงหมดความกังวลเรื่องโครงข่ายไปได้เลยเมื่อต้องขึ้น Private Cloud
Public Cloudคืออะไร? มันก็เหมือนกับ Private Cloud แต่ Public Cloud นั้นมีทีม Dev ระดับโลก ค่าตัวระดับโลก ที่คอยเขียน Web API เชื่อมต่อกับ Software หลังบ้านของตนเอง กล่าวคือเค้ามีคนเขียนระบบ Cloud เอง และเทพไปกว่านั้นคือสามารถเขียนคำสั่งให้ Web App สามารถเลือก Config ได้เองหลังจากเราสมัครสมาชิกจ่ายเงิน เรียกได้ว่าเป็น Automation เต็มรูปแบบ ซึ่งการเช่าใช้นั้นลูกค้าไม่ต้องโทรไปถามเลย คลิกๆ จ่ายเงินก็ใช้งานได้เฉย เรียกได้ว่าหลังบ้านของ Public Cloud นั้นเชื่อมต่อไว้ให้เสร็จสมบูรณ์พร้อมใช้งาน
มีตัวอย่าง Public Cloudไหม? Google Cloud Platform, Microsoft Azure, Huawei Cloud, Amazon Web Services
แล้วทำไมเราไม่ไปใช้ Public Cloud?โลกของ Public Cloud นั้นยังเหมาะกับ Programmer หรือ นัก Dev ops Kubernetes, Docker อยู่ ส่วน IT infrastructure ถ้าอยากไปใช้ Public Cloud จะต้องคิดคำนวณให้ดีกว่าปัจจุบันบริษัทมีงบพอไหม จำกัดต่อเดือนเท่าไหร่ บริษัททำงานแนวไหนถ้าแนว รับ - ส่ง ข้อมูลใหญ่ๆ ตลอดเวลา ไม่เหมาะแน่ๆ เพราะ Public Cloud คิดคำนวณจากพื้นที่และปริมาณ Traffic ที่วิ่ง เข้า-ออก ซึ่งบอกได้เลยว่า เห็นตอนเลือก Package เหมือนถูกกว่า Private Cloud แน่นอนนั่นตอนเลือก แต่พอ Bill มาอาจจะอยากเลิกใช้ก็ได้นะ
แล้ว Private Cloud ไม่จำกัด Bandwidth หรอ?ไม่จำกัด ปัจจุบันเริ่มต้นที่ท่อ 1Gbps ซึ่งค่อนข้างเพียงพออยู่แล้ว แต่ก็มี Private Cloud รองรับไปถึง 25Gbps แล้ว เนื่องจากลูกค้าบางรายต้องการ Read/Write ข้อมูลอย่างเร็วมากๆ เช่นพวก เว็บลงทะเบียน, เว็บจองตั๋ว เป็นต้น
เขียนโดย. Benjaman | Cloud Engineer
เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานเว็บไซต์ของท่านให้ดียิ่งขึ้น และเพื่อให้ท่านได้รับการบริการที่ดีที่สุด โดยท่านสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้จาก นโยบายความเป็นส่วนตัว ที่ลิงก์นี้ กรุณากดยอมรับเพื่อยินยอมให้เราใช้คุกกี้