Fiber Optic คืออะไร
Fiber Optic หรือ Fiber คือ สายส่งข้อมูลที่ผลิตจากแก้วหรือพลาสติกคุณภาพสูง หุ้มด้วยใยพิเศษเพื่อป้องกันความเสียหาย สามารถส่งสัญญาณได้ไกลหลายกิโลเมตร รองรับ Bandwidth สูง และมี อัตราการสูญเสียสัญญาณ (loss) ต่ำ เมื่อเทียบกับสายนำสัญญาณแบบอื่นๆ จึงถูกนำมาใช้ในการส่งข้อมูลในระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ การสื่อสารอินเทอร์เน็ต และงานระบบที่ต้องการความเสถียรสูงอย่างแพร่หลาย
ชนิดของ สายไฟเบอร์ออฟติก (Fiber Optic Cable)
สาย Fiber Optic แบ่งออกเป็น 2 ชนิดหลัก ๆ คือ Single-mode (SMF) และ Multimode (MMF) ซึ่งมีส่วนประกอบพื้นฐานเหมือนกันคือ Core (แกนกลาง) ทำหน้าที่ลำเลียงสัญญาณแสง และ Cladding (เปลือกหุ้ม) ที่ทำหน้าที่สะท้อนแสงให้เดินทางอยู่ใน Core แต่ขนาดของ Core จะแตกต่างกัน ซึ่งส่งผลต่อลักษณะการเดินทางของสัญญาณแสง
- สาย Fiber Optic ชนิด Single-mode (SMF): มีแกน Core ขนาดเล็กมากประมาณ 9 ไมครอน ทำให้แสงเดินทางได้ค่อนข้างตรง ส่งผลให้สามารถส่งข้อมูลได้จำนวนมาก รวดเร็ว และไปได้ไกลหลายสิบกิโลเมตร สายชนิดนี้มักถูกนำไปใช้เป็นโครงข่ายหลัก (Backbone) ในการเชื่อมต่อระหว่างสถานีหลักของระบบสื่อสารทั่วประเทศ เช่น ระดับจังหวัดหรือภูมิภาค โดยมีความยาวคลื่นแสงที่ใช้ประมาณ 1300 นาโนเมตร (nm) หรือ 1550 นาโนเมตร (nm)
- สาย Fiber Optic ชนิด Multimode (MMF): มีแกน Core ที่ใหญ่กว่า โดยทั่วไปอยู่ที่ 50 ไมครอน หรือ 62.5 ไมครอน ขนาด Core ที่ใหญ่ทำให้แสงมีการเดินทางที่กระจัดกระจาย (Multiple Paths) ทำให้เกิดการหักล้างของแสงบางส่วน ส่งผลให้ส่งข้อมูลได้ระยะทางสั้นกว่า Single-mode โดยมีความยาวคลื่นที่ใช้ส่งข้อมูลอยู่ที่ 850 นาโนเมตร (nm) หรือ 1300 นาโนเมตร (nm) ด้วยเหตุนี้ สาย Multimode จึงนิยมนำไปใช้ส่งสัญญาณภายในอาคารหรือพื้นที่ที่ไม่ต้องเดินสายระยะไกล
Dark Fiber
Dark Fiber คือ สายใยแก้วนำแสงที่ยังไม่ได้มีการใช้งานหรือเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ส่งสัญญาณใด ๆ เปรียบเสมือน "สายเปล่า" ที่วางโครงสร้างไว้แล้วแต่ยังไม่มีการ "เปิดไฟ" (ส่งสัญญาณแสง) ซึ่งแตกต่างจากบริการ Fiber ทั่วไปที่ผู้ให้บริการจะติดตั้งอุปกรณ์และส่งสัญญาณให้พร้อมใช้งานทันที สาย Dark Fiber มักจะถูกติดตั้งและฝังไว้ใต้ดินเป็นจำนวนมากโดยผู้ให้บริการเครือข่าย
ผู้ให้บริการจะนำสาย Dark Fiber เหล่านี้มาเปิดให้ลูกค้าเช่าใช้ โดยเฉพาะองค์กรขนาดใหญ่ที่ต้องการ บริหารจัดการและควบคุมการรับส่งข้อมูลภายในหน่วยงานด้วยตนเองอย่างอิสระ โดยมักจะมีทีมผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิคเป็นของตนเอง การเช่า Dark Fiber ช่วยให้องค์กรสามารถควบคุมความจุ ความเร็ว และความปลอดภัยของเครือข่ายได้ตามต้องการ เหมาะสำหรับหน่วยงานที่ต้องการความเสถียรสูงและปริมาณข้อมูลมหาศาล เช่น ตลาดหลักทรัพย์ หรือสถาบันการเงิน
Dark Fiber เหมาะกับการใช้งานตอนไหน
Dark Fiber นิยมนำมาวางเครือข่ายได้ทั้งแบบ Point-to-Point (P2P) และ Point-to-Multipoint (P2MP)
การเชื่อมต่อแบบ Point-to-Point (P2P): เป็นการเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์สองเครื่องโดยตรง เหมาะสำหรับการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างสองจุดที่ต้องการความเร็วและความเป็นส่วนตัวสูง เช่น การเชื่อมต่อสำนักงานใหญ่กับสาขา หรือ Data Center สองแห่งเข้าด้วยกัน
การเชื่อมต่อแบบ Point-to-Multipoint (P2MP): เป็นการเชื่อมต่อจากจุดศูนย์กลางไปยังอุปกรณ์หลาย ๆ จุด โดยใช้ช่องทางการสื่อสารหรือสื่อกลางร่วมกัน การวางรูปแบบ P2MP ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการติดตั้งและดูแลโดยรวมได้ดีกว่า P2P ในบางกรณี แต่ต้องมีการจัดการเพื่อป้องกันการชนกันของข้อมูล
ประโยชน์ที่จะได้จาก Dark Fiber
การเลือกใช้ Dark Fiber ช่วยให้องค์กรได้รับประโยชน์หลายประการ
- ลดค่าใช้จ่ายในระยะยาว: แม้การลงทุนเริ่มต้นอาจสูง แต่ในระยะยาวสามารถลดค่าใช้จ่ายในการเช่า Bandwidth จากผู้ให้บริการภายนอกได้
- ควบคุมและปรับแต่งได้เต็มที่: องค์กรสามารถเลือกใช้อุปกรณ์เครือข่ายที่เหมาะสมกับความต้องการและบริหารจัดการ Bandwidth ได้อย่างอิสระ ทำให้ได้ความเร็วและประสิทธิภาพสูงสุด
- เพิ่มความปลอดภัย: การมีโครงข่ายใยแก้วนำแสงเป็นของตนเองช่วยเพิ่มความปลอดภัยของข้อมูล
- ความยืดหยุ่นสูง: สามารถอัปเกรดอุปกรณ์เพื่อเพิ่มความจุหรือปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีได้ง่ายเมื่อความต้องการเปลี่ยนแปลง
- การเชื่อมต่อสำรอง: Dark Fiber มักถูกนำมาใช้เป็นเครือข่ายสำรอง (Backup Network) ในกรณีที่เกิดภัยพิบัติหรือเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เพื่อรักษาความต่อเนื่องทางธุรกิจ (Business Continuity)
ปัจจุบัน Dark Fiber ไม่ได้ถูกมองว่าเป็นเพียงเครือข่ายสำรองของผู้ให้บริการเท่านั้น แต่ยังถูกนำมาใช้งานอย่างแพร่หลายโดยองค์กรต่าง ๆ รวมถึงโครงการวิจัยที่ต้องการการเชื่อมต่อที่เสถียรและระยะไกล เช่น การศึกษาด้านแผ่นดินไหว หรือการตรวจสอบพื้นที่น้ำแข็งในแถบขั้วโลก
Dark Fiber และ Fiber ต่างกันอย่างไร
ในด้านลักษณะทางกายภาพ (Physical) Dark Fiber และ Fiber ไม่มีความแตกต่างกัน ทั้งคู่คือใยแก้วนำแสง อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างหลักอยู่ที่รูปแบบการให้บริการ:
- Fiber (บริการ Fiber ทั่วไป): ผู้ให้บริการจะเป็นผู้ติดตั้งอุปกรณ์ส่งสัญญาณและจัดการเครือข่ายให้พร้อมใช้งาน ลูกค้าจะเช่าใช้ Bandwidth หรือบริการอินเทอร์เน็ตที่พร้อมใช้งานทันที
- Dark Fiber: ผู้ให้บริการให้เช่าเฉพาะ "สายเปล่า" โดยไม่มีอุปกรณ์ส่งสัญญาณ ลูกค้าจะต้องลงทุนติดตั้งอุปกรณ์เครือข่ายของตนเองและบริหารจัดการระบบทั้งหมดด้วยตนเอง ซึ่งเหมาะสำหรับองค์กรที่ต้องการควบคุมทุกอย่าง และมีความเชี่ยวชาญด้านเทคนิค