Skip to Content

Transparency and Traceability

Transparency and Traceability  เทคโนโลยีสำคัญรับมือความท้าทายบนโลกดิจิทัลที่ให้ความสำคัญกับความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือ

ในยุคดิจิทัลที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้น ตั้งแต่การใช้งาน IoT ที่ช่วยให้การรับส่งข้อมูลในภาคอุตสาหกรรมรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ไปจนถึงการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตในทุกมิติของการดำเนินธุรกิจ ศักยภาพของเทคโนโลยีเหล่านี้มอบความสะดวกสบายและโอกาสมากมาย อย่างไรก็ตาม ความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลและการถูกนำไปใช้โดยไม่โปร่งใสได้กลายเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการพัฒนาและการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีอย่างเต็มที่

เนื่องจากการเรียนรู้ของ AI นั้นต้องอาศัยข้อมูลจำนวนมาก (Big Data) ทำให้หลายองค์กรอาจมีการเก็บรวบรวมข้อมูลที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งนำไปสู่ความพยายามของนานาประเทศในการผลักดันกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและความโปร่งใสในเรื่องความเป็นส่วนตัวของข้อมูล ควบคู่ไปกับการให้ความสำคัญกับ จริยธรรมดิจิทัล (Digital Ethics) ระบบ AI ที่นำมาใช้จึงจำเป็นต้องสามารถติดตามและตรวจสอบการทำงานได้ เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ ซึ่งนำไปสู่เทรนด์เทคโนโลยีที่สำคัญอย่าง Transparency (ความโปร่งใส) และ Traceability (การติดตามตรวจสอบย้อนกลับ)

Transparency and Traceability สอดคล้องกับแนวคิด People-Centric ที่ให้ความสำคัญกับผู้ใช้เป็นศูนย์กลาง ความโปร่งใสและการตรวจสอบย้อนกลับเป็นองค์ประกอบสำคัญในการสนับสนุนจริยธรรมทางดิจิทัลและปกป้องความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งาน รวมถึงองค์กรต่าง ๆ ที่ตระหนักถึงความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นและจำเป็นต้องมีการจัดการข้อมูลส่วนตัวอย่างปลอดภัยเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับเจ้าของข้อมูล

ปัจจุบัน การนำ AI (Artificial Intelligence) และ ML (Machine Learning) มาใช้ในการตัดสินใจแทนมนุษย์มีมากขึ้น ดังนั้น การสร้างความเชื่อมั่นและผลักดันแนวคิดและแนวปฏิบัติเกี่ยวกับความโปร่งใสและการตรวจสอบย้อนกลับจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อให้สอดคล้องกับกฎระเบียบและหลักจริยธรรมในการใช้ AI ซึ่งจำเป็นต้องมุ่งเน้น 3 ส่วนหลัก ได้แก่:

  1. การออกแบบที่สอดคล้องตามหลักจริยธรรม: การพัฒนาและใช้งาน AI โดยคำนึงถึงผลกระทบทางสังคมและจริยธรรมตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบ
  2. การเก็บรักษา การครอบครอง และการควบคุมข้อมูลส่วนตัว: การบริหารจัดการข้อมูลส่วนบุคคลอย่างมีความรับผิดชอบและเป็นไปตามกฎหมาย
  3. AI และ ML และผลลัพธ์ที่ได้: ความสามารถในการอธิบายและตรวจสอบกระบวนการทำงานและผลลัพธ์ของระบบ AI และ ML

ผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดเจนคือการบังคับใช้ กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Personal Data Protection Act: PDPA) ทั่วโลก ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันถึงความสำคัญของ Transparency และ Traceability ในการสร้างความเชื่อมั่นและความปลอดภัยในโลกดิจิทัล

Transparency and Traceability เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยสร้างความโปร่งใสและตรวจสอบได้ในการดำเนินงานขององค์กร แสดงให้เห็นถึงความรับผิดชอบและจริยธรรมทางดิจิทัล ผู้บริโภคสามารถไว้วางใจได้มากขึ้นเนื่องจากเทคโนโลยีเหล่านี้ช่วยปกป้องข้อมูลส่วนตัวและสร้างความน่าเชื่อถือให้กับสินค้าและบริการ ยกตัวอย่างเช่น ในการเลือกซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค หากสินค้ามีข้อมูลที่แสดงถึงแหล่งที่มาและความโปร่งใส ผู้บริโภคส่วนใหญ่มักจะเลือกซื้อสินค้านั้นมากกว่าแบรนด์อื่น ๆ แม้ว่าจะมีราคาสูงกว่าก็ตาม จากผลสำรวจในปี 2018 พบว่า 75% ของผู้บริโภคหันมาเลือกซื้อสินค้าที่พวกเขาสามารถทราบข้อมูลและความโปร่งใส แม้จะมีราคาสูงกว่า ซึ่งแสดงให้เห็นว่า Transparency สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าได้

แม้ว่า Transparency (ความโปร่งใส) และ Traceability (การตรวจสอบย้อนกลับ) มักจะมาคู่กัน แต่ในมุมมองของผู้บริโภคนั้น ความโปร่งใสจะมองในภาพรวมของระบบ ในขณะที่ Traceability คือความสามารถในการตรวจสอบย้อนกลับไปยังที่มาที่ไปของข้อมูลหรือผลิตภัณฑ์ ดังนั้น การมีข้อมูล Traceability ที่ถูกต้องและมีคุณภาพบนพื้นฐานของข้อมูลขนาดใหญ่จึงเป็นสิ่งสำคัญในการสร้าง Transparency และความมั่นใจให้กับผู้บริโภคในการเลือกซื้อสินค้าและบริการที่ปลอดภัย

ตัวอย่างการประยุกต์ใช้ในภาคอุตสาหกรรมอาหาร: ระบบ Transparency สามารถบันทึกและรวบรวมข้อมูลในระบบ และแสดงผลในรูปแบบ QR code ที่ติดอยู่บนสินค้า เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบข้อมูลย้อนกลับไปยังแหล่งที่มา กระบวนการผลิต และข้อมูลอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องได้ ความโปร่งใสนี้มีผลต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคมากขึ้น และเป็นโอกาสให้ผู้ผลิตสร้างความแตกต่างและเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า

Traceability (การตรวจสอบย้อนกลับ) คือ ความสามารถในการสอบทานและติดตามตลอดกระบวนการผลิต การแปรรูป และการจัดจำหน่าย ในระบบการสืบค้นย้อนกลับประกอบด้วย 2 กระบวนการหลัก คือ:

  • การติดตาม (Following): ระบบที่สามารถติดตามได้ว่าสินค้าหรือสิ่งที่สนใจนั้นอยู่ที่ใดในปัจจุบัน
  • การสืบค้นย้อนกลับ (Tracing): ความสามารถในการสืบสวนย้อนกลับว่าสินค้าที่มีปัญหานั้นผลิตขึ้นเมื่อใด จากสายการผลิตใด และใช้วัตถุดิบจากแหล่งใด

ในการแข่งขันทางการค้าในตลาดโลก ระบบการสืบค้นย้อนกลับมีความสำคัญอย่างยิ่ง หลายประเทศได้กำหนดให้เป็นกฎระเบียบสำหรับการนำเข้าสินค้า ซึ่งผู้ส่งออกจำเป็นต้องนำไปปฏิบัติ ดังนั้น การเตรียมความพร้อมและนำระบบดังกล่าวมาประยุกต์ใช้ในกระบวนการผลิตจึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อรองรับสถานการณ์ทางการค้าในอนาคต

ประโยชน์ของการนำระบบการสืบค้นย้อนกลับมาประยุกต์ใช้:

  • สำหรับผู้ผลิต: ลดปริมาณการเรียกคืนสินค้าที่มีปัญหา สามารถสืบค้นแหล่งที่มาของปัญหาได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ ลดต้นทุนการเรียกคืนสินค้า สร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภค และปฏิบัติตามกฎระเบียบการค้าของประเทศคู่ค้า
  • สำหรับผู้บริโภค: ลดความเสี่ยงในการบริโภคสินค้าที่มีปัญหา ทราบแหล่งที่มาของวัตถุดิบ และได้รับข้อมูลที่โปร่งใสเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์

นอกจากนี้ ระบบ Traceability ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการผลิต สนับสนุนการควบคุมคุณภาพ และเป็นเครื่องมือในการจัดการความเสี่ยงในการเรียกคืนผลิตภัณฑ์ที่ไม่ปลอดภัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ

โดยสรุป Transparency and Traceability ไม่ได้เป็นเพียงเทรนด์เทคโนโลยี แต่เป็นรากฐานสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่น ความปลอดภัย และความรับผิดชอบในโลกดิจิทัลที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล การให้ความสำคัญกับความโปร่งใสและการตรวจสอบย้อนกลับจะช่วยให้ผู้บริโภคและองค์กรสามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีได้อย่างมั่นใจ พร้อมรับมือกับความท้าทายและสร้างอนาคตดิจิทัลที่ยั่งยืนและน่าเชื่อถือ

แปลโดย  kirz.com