สาย Fiber Optic คืออะไร
ก่อนจะเจาะลึกถึงชนิดของสาย Fiber Optic เรามาทำความเข้าใจกันก่อนว่าสายชนิดนี้คืออะไร สาย Fiber Optic หรือ สายใยแก้วนำแสง คือสายเคเบิลที่ใช้ เส้นใยแก้วหรือพลาสติก ที่มีความบริสุทธิ์สูงในการส่งสัญญาณข้อมูล โดยแปลงข้อมูลให้อยู่ในรูปของ แสง และส่งผ่านไปตามเส้นใยแก้วนี้ ด้วยคุณสมบัติที่เหนือกว่าสายเคเบิลทองแดงแบบดั้งเดิม ทั้งในด้าน ความเร็วในการส่งข้อมูลที่สูงมาก เสถียรภาพ และ ภูมิคุ้มกันต่อสัญญาณรบกวนภายนอก ทำให้สาย Fiber Optic กลายเป็นหัวใจหลักของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ระบบโทรคมนาคม และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ที่เราใช้งานอยู่ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นอินเทอร์เน็ตบ้านความเร็วสูง, ระบบเครือข่ายองค์กรขนาดใหญ่ หรือแม้แต่การเชื่อมต่อโครงข่ายระหว่างประเทศ
ประเภทของสาย Fiber Optic
สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลักๆ ตามลักษณะการนำแสง
1. สายใยแก้วนำแสงแบบ Single-mode (SMF)
สาย Single-mode มีจุดเด่นอยู่ที่ แกนกลาง (Core) ที่มีขนาดเล็กมาก เพียงประมาณ 9 ไมครอน (หรือ 8-10 ไมครอน) ทำให้แสงเดินทางผ่านได้เพียง เส้นทางเดียวเท่านั้น จึงไม่มีการกระจายตัวของแสง (Modal Dispersion) เหมาะสำหรับการส่งข้อมูลใน ระยะทางไกลมาก เช่น การเชื่อมต่อระหว่างเมือง ทวีป หรือศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ สายชนิดนี้สามารถส่งข้อมูลได้ในระยะทางตั้งแต่ 5 กิโลเมตรไปจนถึง 120 กิโลเมตร โดยที่สัญญาณไม่ลดทอนความเร็วลง
- ข้อดี:
- มีการสูญเสียสัญญาณน้อยมาก ทำให้ส่งสัญญาณได้ในระยะทางที่ไกลกว่า
- ความเร็วในการส่งข้อมูลสูงมาก รองรับแบนด์วิดธ์ได้สูง เหมาะสำหรับการใช้งานในระบบเครือข่ายความเร็วระดับ Gigabit ไปจนถึง Terabit
- ข้อเสีย:
- ต้องใช้แหล่งกำเนิดแสงที่มีความแม่นยำสูง เช่น เลเซอร์ที่มีราคาแพงกว่า
- มีราคาสูงกว่า สายใยแก้วนำแสงแบบ Multi-mode ทั้งตัวสายและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง
- การเชื่อมต่อต้องการความแม่นยำสูง
- การใช้งาน: นิยมใช้ในระบบเครือข่ายหลัก (Backbone Network), ระบบโทรคมนาคม (ISP, Telco), การเชื่อมต่อระหว่างอาคาร หรือศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ที่ต้องการส่งข้อมูลระยะไกล
2. สายใยแก้วนำแสงแบบ Multi-mode (MMF)
สาย Multi-mode มี แกนกลาง (Core) ที่ใหญ่กว่า สาย Single-mode อย่างเห็นได้ชัด โดยมีขนาดประมาณ 50-62.5 ไมครอน ขนาดที่ใหญ่ขึ้นนี้ทำให้แสงสามารถเดินทางผ่านได้ หลายเส้นทางพร้อมกัน (Multi-paths) เหมาะสำหรับการส่งข้อมูลใน ระยะทางสั้นๆ เช่น ภายในอาคาร, แคมปัส, หรือการเชื่อมต่อภายในศูนย์ข้อมูล
- ข้อดี:
- การติดตั้งและการเชื่อมต่อง่ายกว่า เนื่องจาก Core มีขนาดใหญ่กว่า
- มีราคาถูกกว่า สายใยแก้วนำแสงแบบ Single-mode ทั้งตัวสายและอุปกรณ์
- ใช้แหล่งกำเนิดแสงที่ราคาถูกกว่า เช่น LED หรือ VCSEL (Vertical Cavity Surface Emitting Laser)
- ข้อเสีย:
- มีการสูญเสียสัญญาณมากกว่า เนื่องจากแสงมีการกระจายตัว (Modal Dispersion) ทำให้ระยะทางในการส่งจำกัด
- ความเร็วในการส่งข้อมูลและแบนด์วิดธ์จำกัด เมื่อเทียบกับ Single-mode
- เหมาะสำหรับการใช้งานในระยะทางสั้นๆ เท่านั้น (โดยทั่วไปไม่เกิน 2 กิโลเมตร ขึ้นอยู่กับมาตรฐานและชนิดของสาย)
- การใช้งาน: นิยมใช้ภายในอาคาร, เครือข่าย LAN, การเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์ต่างๆ ในศูนย์ข้อมูล (Data Center) และเครือข่ายภายในองค์กรที่ไม่ต้องการส่งข้อมูลระยะไกลมากนัก
การเลือกใช้สาย Fiber Optic
การเลือกใช้สาย Fiber Optic ที่ถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดและคุ้มค่ากับการลงทุน คุณควรพิจารณาจากปัจจัยสำคัญเหล่านี้
- ระยะทาง: หากต้องการส่งสัญญาณใน ระยะทางไกลมาก (หลายกิโลเมตรไปจนถึงร้อยกิโลเมตร) Single-mode คือตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด แต่ถ้าระยะทาง สั้นๆ (ไม่เกิน 2 กิโลเมตร) Multi-mode ก็เพียงพอและประหยัดกว่า
- ความเร็วและแบนด์วิดธ์: หากต้องการ ความเร็วในการส่งข้อมูลที่สูงมาก และ แบนด์วิดธ์ขนาดใหญ่ ในอนาคต (เช่น 10GbE, 40GbE, 100GbE ขึ้นไป) Single-mode จะตอบโจทย์ได้ดีกว่า
- งบประมาณ: Multi-mode มีราคาถูกกว่าทั้งตัวสายและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง จึงเหมาะสำหรับโครงการที่มีงบประมาณจำกัดและระยะทางไม่ไกล
- สภาพแวดล้อม: พิจารณาสภาพแวดล้อมในการติดตั้ง เช่น อุณหภูมิ ความชื้น การป้องกันสัตว์กัดแทะ หรือแรงสั่นสะเทือน เพื่อเลือกชนิดของสายที่มีการหุ้มฉนวน (Jacket) ที่เหมาะสม
สาย Fiber Optic เป็นเทคโนโลยีที่สำคัญในการส่งสัญญาณข้อมูลในปัจจุบัน การเลือกใช้สายใยแก้วนำแสงที่เหมาะสมจะช่วยให้ระบบเครือข่ายของคุณมีประสิทธิภาพสูงสุด และตอบสนองความต้องการในการใช้งานได้อย่างครอบคลุม
ทีมการตลาด เคิร์ซ